เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องหมายแห่งความเป็น " พระราชาธิบดี "

เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องหมายแห่งความเป็น " พระราชาธิบดี "

    เครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งประเทศไทย หมายถึง กกุธภัณฑ์ ต่างๆ ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทยและพระราชพิธีที่สำคัญอื่นๆ เครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งประเทศไทย ระบุไว้ในอภิธานัปปทีปิกา คาถาที่ 358 ว่า พระขรรค์ ฉัตร อุณหิส ฉลองพระบาท วาลวีชนี คือ มีฉัตรแทนธารพระกร เครื่องทองต่างๆที่เห็นนี้เรียกว่า

“เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์” 

    กกุธภัณฑ์มีความสำคัญยิ่งเพราะเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นพระราชาธิบดี จึงเป็นสิ่งที่จะต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายใน ซึ่งเป็นเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ไทย เครื่องทรงเหล่านี้เป็นเครื่องบ่งชี้ว่า "พระเจ้าอยู่พระองค์นั้นๆได้ผ่านพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นพ่ออยู่หัว" ตรงตามโบราณราชประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่ครั้งกรุงเก่าทุกประการ ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเครื่องเบญจราชฯนี้เพียงแค่ครั้งเดียว นั่นก็คือวันที่พระองค์เข้าพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นพ่ออยู่หัว และจะไม่ทรงเครื่องเบญจราชฯอีกเลยตลอดรัชกาล เพราะเครื่องเบญจราชฯ นี้เป็นเครื่องทรงที่สงวนไว้สำหรับพิธีบรมราชาภิเษกเท่านั้น ดังนั้นหลังจากพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว เจ้าพนักงานจะอัญเชิญครื่องเบญจราชฯทอดถวายไว้ที่ข้างๆพระราชบัลลังก์แทน 

เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ประกอบไปด้วยเครื่องทรง 5 อย่างคือ

1. พระมหาพิชัยมงกุฎ แสดงถึงยอดพระวิมานของพระอินทร์หรือเทพ พระมหามงกุฎนี้สร้างขึ้นในพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 ทำด้วยทองคำลงยาประดับเพชร ครั้นถึงสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงมีรับสั่งให้นำเพชรเม็ดใหญ่จากประเทศอินเดียมาประดับไว้บนยอดพระมหาพิชัยมงกุฎ ซึ่งมีความหมายว่าเป็นของหนัก เป็นพระราชภาระของพ่ออยู่หัว เพราะต้องทรงแบกรับความทุกข์ ความโศก และโรคภัยของประชาชนทั้งปวง พระมหาพิชัยมงกุฎมีน้ำหนักกว่า 7.3 กิโลกรัม

พระมหาพิชัยมงกุฎ

 

2. พระแสงขรรค์ชัยศรี แสดงถึงพระราชศาตราวุธประจำพระมหากษัตริย์ เสมือนเป็นพระปัญญาในการปกบ้านครองเมือง พระแสงองค์นี้เป็นของเก่า เดิมตกจมอยู่ในทะเลสาบเขมรที่เมืองเสียมราฐ ชาวประมงทอดแหได้ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์(แบน)เจ้าเมืองเสียมราฐจึงนำมาทูลเกล้าถวายพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่1 เมื่อวันที่พระแสงองค์นี้มาถึงพระนคร ได้เกิดฟ้าผ่าลงกลางพระนครตามทางที่อัญเชิญถึง 7 แห่ง รัชกาลที่1จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทำด้ามและฝักขึ้นใหม่ด้วยทองลงยาประดับมณี หนักกว่า 1.9 กิโลกรัม

พระแสงขรรค์ชัยศรี

 

3. ธารพระกร แสดงถึงพระมหากษัตริย์ทรงครองราชย์โดยธรรม สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่1ทำด้วยไม้ชัยพฤษ์ปิดทอง หัวและสันเป็นเหล็กคร่ำลายทอง ลักษณะเหมือนกับไม้เท้า มีความยาว 118 เซนติเมตร

ธารพระกร

 

4. วาลวีชนี (พัดและแส้) แสดงถึงพระราชภารกิจที่คอยปัดเป่าความทุกข์ บำรุงความสุขให้ไพร่ฟ้าประชาชน ทั้ง 2 สิ่งนี้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่1ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้น พัดวาลวีชนีทำด้วยใบตาลปิดทองทั้ง 2 ด้าน ด้ามและเครื่องประกอบทำด้วยทองคำลงยา ส่วนพระแส้ทำด้วยขนจามรี มีด้ามเป็นแก้ว

วาลวีชนี (พัดและแส้)

 

5. ฉลองพระบาทเชิงงอน ฉลองพระบาทนี้มีที่มาจากเกือกแก้ว ซึ่งหมายถึง แผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุ เป็นที่อาศัยแก่อาณาประชาราษฎร์ทั้งหลายทั่วแว่นแคว้นขอบขัณฑสีมา ฉลองพระบาทเชิงงอนนี้ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามแบบอินเดียโบราณ

ฉลองพระบาทเชิงงอน

 

(ปล.ในจดหมายเหตุบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 2 มีทั้งฉัตรและธารพระกร พระแสงขรรค์ พระแสงดาบ วาลวีชนี พระมหาพิชัยมงกุฎ และฉลองพระบาท รวมเป็น 7 สิ่ง)

จากภาพด้านซ้ายคือ เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ทั้ง 5 อย่าง จากภาพด้านขวาคือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

เมื่อครั้งเข้าพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และ เมื่อครั้งพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษา ในปี พ.ศ. 2552

ซึ่งเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ และเครื่องราชกกุธภัณฑ์อื่นๆ รวมไปถึงเครื่องทองเครื่องสูงต่างๆ เก็บรักษาไว้ ณ พระที่นั่งองค์ทิศตะวันตก ของพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง

พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน